อวิชชา (๘) ทางสายเอก

เพราะขณะนี้คนเราคิดก่อนทำไม่ได้ นี่พิสูจน์ให้เราเห็นว่า พฤติกรรมของอวิชชาควบคุมวิถีชีวิตของคนเรา ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองว่าจริงไหม คนเราคิดก่อนทำไม่ได้ พฤติกรรม คือการทำซ้ำบ่อย ๆ เนือง ๆ จนเป็นปกตินิสัยในเรื่องนั้น ๆ คนเราเอาอะไรไปทำซ้ำ เอาความไม่รู้หรืออวิชชาไปทำซ้ำ อวิชชาหรือความไม่รู้ เป็นของคนเรามาก่อนเราเกิดเสียอีก สรุปง่าย ๆ ว่า ความไม่รู้เป็นของคนเรา เราสร้างขึ้นมาเอง

ทำอย่างไร ให้คนทั้งหลายรู้ว่า คนเราถูกความไม่รู้หรืออวิชชาควบคุม และบังคับ ให้คนเราเอาความไม่รู้ไปทำซ้ำ จนกลายเป็นนิสัยความเคยชินของความไม่รู้ ทำให้เราไม่รู้อะไรเลยในชีวิต ว่าชีวิตคืออะไร เป้าหมายชีวิตอยู่ที่ไหน ทุกวันนี้เราทำอะไรอยู่ มีค่าหรือไม่มีค่าต่อชีวิต ไม่รู้เลยจริง ๆ แล้วคนเราไม่ได้ทำอะไรเลย ให้กับชีวิตของตนเอง เพราะคนเราไม่มีโอกาสคิดถึงมัน ฉะนั้น การที่ทำให้คนทั้งหลายรู้ว่า ชีวิตของเราถูกความไม่รู้ควบคุมนั่นไม่ใช่ของง่าย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนเราทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมลิขิต คนเราก็เป็นไปตามวิบากกรรมของตนเองที่ทำไว้ คนเราเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง เหมือนกับสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว แล้วแตกสลาย ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง บังคับบัญชาไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มาประชุมกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ คนเราเอาเหตุปัจจัยของอวิชชาหรือความไม่รู้ มาเป็นเหตุปัจจัย มาประชุมกันในชีวิตของคนเราทุกคนตลอดเวลา การที่จะแก้ไขตัวเราให้พ้นไปจากอวิชชาได้นั้น ต้องอาศัยบุญกุศลที่เราสั่งสมฝึกฝนตนเองจนเป็นนิสัย หรือพฤติกรรมมาพอสมควร บุญกุศลนั้นจะทำให้ คนเราเกิดมาพบพระพุทธเจ้า พบพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง และพบคนบอกทางที่ถูกต้อง ให้เรามีโอกาสศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จนเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ จึงจะพาตนเองหนีไปจากอวิชชาได้

ถึงแม้อวิชชามันแปลงร่างของมันเป็นอะไรก็ตาม แต่เวลามันจะเข้ามาสู่ตัวของคน มันก็จะต้องผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราวิปัสสนาภาวนาท่องจำไม่เที่ยงเกิดดับ กำกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจตลอดเวลา จนเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวัน ก็จะดับอวิชชาได้แน่นอน อวิชชาที่นอนเนื่องอยู่ในใจ เมื่อไม่มีการเติมอาหารใหม่ ความพอใจ ไม่พอใจเป็นผัสสาหาร เข้าไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อวิชชาเก่าก็ต้องแตกสลายไปตามธรรมชาติ หรือตายไป หมดไปจากใจ ความจริงของโลกและชีวิตที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือกฎธรรมชาติ 2 กฎ หรือไม่เที่ยงเกิดดับ ก็จะเข้าไปแทนที่ความพอใจ ไม่พอใจ หรืออวิชชาในใจของคนเรา ต่อไปชีวิตของคนเรา ก็จะถูกปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นกรรมลิขิต ดับอวิชชาได้ถาวร

พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเรามีอาหาร ๔ เลี้ยงชีวิต คือ กวฬิงการาหาร ๑ คือ อาหารหยาบที่เป็นรูปธรรม เช่น ข้าว น้ำ ลม ไฟ ถ้าเราไม่กินข้าว ๑ เดือนตาย, ไม่กินน้ำ ๗ วันตาย, ไม่กินลม ๕ นาทีตาย อย่างนี้เป็นต้น คนเราจึงกินข้าวกับน้ำกับลมทุกวัน อาหารอันที่ ๒ ผัสสาหาร เป็นนามธรรม เมื่อผัสสาหารเกิดขึ้น ก็จะทำให้ มโนสัญเจตนาหาร อาหารอันที่ ๓ เกิดขึ้น เมื่อมโนสัญเจตนาหารเกิดขึ้น ก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญาณาหาร อาหารอันที่ ๔ เกิดขึ้น วิญญาณาหารหรือความรู้สึกนึกคิด ก็ไปเลี้ยงร่างกายทั้งหมด ชีวิตของคนเรามีชีวิตอยู่ได้ เพราะอาหาร ๔ นี้

ผัสสาหารของพวกเราทุกคนในขณะนี้ก็คืออวิชชา มโนสัญเจตนาหารก็เป็นอวิชชา วิญญาณาหารที่เกิดขึ้นก็เป็นอวิชชา อวิชชาจึงเลี้ยงร่างกายเราอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเราเปลี่ยนผัสสาหารเป็นไม่เที่ยงเกิดดับ ซึ่งเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า ปัญญาของพระพุทธเจ้า ก็จะไปเลี้ยงชีวิตร่างกายของเราแทนอวิชชา ชีวิตของเราก็จะโปร่งโล่ง เป็นอิสระไร้ทุกข์ แต่คนเราทุกคนมีศักยภาพที่จะฝึกฝนตนเองได้ ฝึกเป็นอะไรก็ได้ ถ้าไม่ฝึก คนเราก็เลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้

ถ้าคนเราได้เรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะรู้ว่า ตัวเราต้องฝึกฝนตนเองให้หนีทุกข์ ไปหาสุขถาวร ถ้าเราไม่รู้พระธรรมคำสอนของศาสดาเอกของโลก คือ พระพุทธเจ้า โอกาสที่จะฝึกฝนตนเองไม่มีเลย เพราะอวิชชาควบคุมตัวท่านอยู่ คนเราสั่งตนเองไม่ได้

ฉะนั้น การท่องไม่เที่ยงเกิดดับนั้น คือการปฏิบัติตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ดับอวิชชาได้ถาวร

ทุกข์ของคนเราเกิดที่ไหน ให้ดับที่นั่น

จึงเน้นให้พวกเราชาวพุทธให้มีปัญญาก่อน

การได้อิสรภาพทั้งกายและใจ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy