อวิชชา (๔) ตัวกูของกู
เราจะเห็นว่า อวิชชามันพัฒนาไปซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของเราทุกคน ซ่อนอย่างละเอียดลึกซึ้ง เกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะรู้เห็นได้ง่าย ๆ เพราะอวิชชาอยู่กับเรามานับภพนับชาติไม่ถ้วน และจะอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าคนเราจะพัฒนาตัวเอง เข้าถึงเส้นทางมรรคผลนิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้บอกทางไว้ให้ สิ่งที่อวิชชาเข้าไปซ่อนตัวอยู่แต่ละอัน มันละเอียดลึกซึ้งจริง ๆ รู้เห็นไม่ได้เลย คนเราก็ไปหลงสิ่งที่อวิชชาซ่อนตัวอยู่ จนไปติดกับสิ่งเหล่านั้น เป็นความพอใจ และไม่พอใจที่ควบคุมชีวิตจิตใจของเรา
ในขณะนี้ มีใครมองเห็นบ้าง ถ้ามองเห็นกัน ก็คงจะไม่มีใครไปแสวงหาความพอใจ ไม่พอใจ แต่นี่ แต่ละคนตื่นมาแต่ละวัน ก็วิ่งไปแสวงหาตลอดเวลา ก็หมายความว่า ความพอใจ ไม่พอใจคืออวิชชา ที่ทำให้คนเราเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีผู้ใดรู้จักกับมันเลย ทำให้คนเราเข้าใจว่า ถ้าขาดความพอใจ ไม่พอใจแล้ว ชีวิตจะแห้งแล้ง ไม่มีความสุข ความจริงมันเป็นเพียงความสุขชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่ความสุขจริง ๆ
เมื่อความพอใจ ไม่พอใจ พัฒนาตัวเองไปสู่ความรู้สึกนึกคิด ไปฝังอยู่ในจิตใจของเรา ใจของเราควบคุมร่างกายหรือการดำเนินชีวิต ทำให้คนเราคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากความพอใจ ไม่พอใจ ที่ฝังอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของคนเรา ก็นับว่าละเอียดลึกซึ้งกว่าความพอใจ ไม่พอใจ คนเรารู้ไม่ได้ มองไม่เห็น เลยเป็นคนขาดสติ ที่จะคิดเรื่องอื่น หรือเรื่องใหม่ ๆ ได้ คนเราทุกคนที่มีชีวิตอยู่ จะต้องมีความรู้สึกนึกคิดตลอดเวลา ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็หมายความว่า คนเราเอาอวิชชาไปทำซ้ำอยู่ทุกวัน
ต่อไป ความรู้สึกนึกคิด ก็ได้พัฒนาตัวเองต่อไป เพื่อมิให้คนเราหยุดคิดถึงอวิชชา นั่นคือพัฒนาไปเป็นชื่อของวัตถุ สิ่งของ สัตว์ บุคคล ให้คนเราเอาไปทำซ้ำ คิดดูให้ดี ๆ จะเห็นว่า คนเราจะตั้งชื่ออะไร ต้องคิดจนตัวเองพอใจ จึงตั้งชื่อสิ่งนั้น ๆ ฉะนั้น ชื่อแต่ละอย่างที่ตั้งขึ้นนั้น คือตัวแทนของความรู้สึกนึกคิด หรือความพอใจ ไม่พอใจ มีผู้ใดรู้บ้างว่า ชื่อที่เราใช้เรียก หรือใช้สื่อสารซึ่งกันและกันนั้น คืออวิชชา
จากนั้นชื่อก็พัฒนาต่อไปอีก เป็นตัวหนังสือที่เราใช้เขียนสื่อสารกัน ขณะนี้มันละเอียดลงไปอีก ทำให้คนเรารู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้ คนเราก็ไปหลงใช้ตัวหนังสือแทนตัวเอง ในชีวิตประจำวัน แต่ละวันเราหลีกเลี่ยงใช้ชื่อและตัวหนังสือไม่ได้เลย มันเลยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนเรา คนเราก็จะเอาชื่อและตัวหนังสือไปทำซ้ำในชีวิตประจำวัน เราจะเห็นว่า คนเราจะรู้จักชื่อหรือตัวหนังสือเท่านั้น (ความจริงมันเป็นสมมุติที่คนเราตั้งขึ้นเท่านั้น มันไม่มีตัวตนที่แท้จริง) ไม่รู้จักความจริงเบื้องหลังของชื่อนั้น ทำให้คนเราไปหลงชื่อและตัวหนังสือ ไปยึดมั่นถือมั่นในตัวหนังสือและชื่อเท่านั้น เข้าไปไม่ถึงความจริงที่แท้จริงของชื่อและตัวหนังสือนั้น
เมื่อเราไม่รู้ความจริง ชื่อและตัวหนังสือ ก็พัฒนาไปเป็นความหลง ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เหมือนเราไปหลงยึดมั่นถือมั่นน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ว่ามันจะไม่ละลาย ในที่สุดเราก็ผิดหวัง เพราะมันละลายไม่เหลืออะไรอยู่ ฉันใดฉันนั้น การที่เราไปยึดมั่นถือมั่น ก็เพราะเราเอาชื่อและตัวหนังสือ ไปทำซ้ำในชีวิตประจำวันของเราทุกวัน ในที่สุดก็กลายเป็นความเคยชินและพฤติกรรมต่อไป
จากนั้นความยึดมั่นถือมั่น ก็กลายเป็นตัวกูของกู อย่างตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นดังนี้ เราออกจากบ้านต้องใส่รองเท้าทุกวัน นาน ๆ วันเข้า ความยึดมั่นถือมั่นก็จะเกิดขึ้น เราจะเห็นว่ารองเท้าเป็นรองเท้าของกูไปทันที เมื่อตัวกู ของกูเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา ก็หมายความว่าชีวิตของเราล้มเหลว แล้วหนีไปจากอวิชชาไม่ได้ ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดต่อไป หาที่สิ้นสุดไม่ได้
เราจะเห็นว่า อวิชชามันพัฒนาตัวมันละเอียดลึกซึ้ง แยบยลไปตามพฤติกรรมของคนเรา ทำให้คนเรามองเห็นไม่ได้เลย ตรวจสอบดูได้ ว่าอวิชชามันพัฒนาไปจนถึงตัวกูของกู มีขั้นตอนตรงไหนบ้างที่คนเรารู้ได้ว่ามันคืออวิชชาบ้าง ไม่รู้เลย ถ้ารู้ได้ คนเราคงไม่ทำตามอวิชชาแน่นอน อวิชชามันแปลงร่างมาเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เพราะความไม่รู้ จึงไปหลงยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้มันหนีไปจากตัวเรา และมันก็ยังผลักดัน ให้คนเราไปแสวงหาความพอใจ ไม่พอใจ หรืออวิชชาให้กับตัวเองตลอดเวลา ชีวิตของคนเรา จึงไม่มีเวลาพักผ่อนให้กับตนเอง มีแต่ไปไล่วิ่งตามหาความพอใจ ไม่พอใจ ถ้ารู้ว่ามันคืออวิชชาหรือทุกข์ถาวร คงไม่มีผู้ใดไปแสวงหาแน่นอน อวิชชา หรือขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มันเก่ง สามารถแปลงร่าง หลอกล่อให้คนเราหลงตามมันไปทุกหนทุกแห่ง หลงจนไม่รู้จักตัวเอง เป็นใคร เกิดมาทำไม
อวิชชา (๕) ความยึดมั่นถือมั่น
อวิชชา (๖) อนุสัยกิเลส
อวิชชา (๗) โหดร้ายต่อตัวเอง