อวิชชา (๒) การวิปัสสนา

เอาไม่เที่ยงเกิดดับ ไปวิปัสสนาท่องจำ ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาเก็บไว้เป็นข้อมูลสัญญาความจำไว้ในใจ แล้วเอาสัญญาความจำไม่เที่ยงเกิดดับ ไปกำหนดรู้สติปัฎฐาน ๔ หรือโลกและชีวิต ให้เห็นตามที่มันเป็นจริงที่มันเป็น ไม่มีความพอใจ ไม่พอใจไปเกี่ยวข้องในขณะที่ถูกกระทบสัมผัสทางอินทรีย์ ๖ ท่องจำไม่เที่ยงเกิดดับบ่อย ๆ เนือง ๆ ข้อมูลไม่เที่ยงเกิดดับ เข้าไปแทนความเห็นผิด คือความพอใจและไม่พอใจ ในที่สุด ก็จะดับความเห็นผิด ความเป็นอริยะบุคคลโสดาบันบุคคลก็จะเกิดขึ้น

อวิชชาที่มันพัฒนามาเป็นความพอใจ ไม่พอใจ มันละเอียดลึกซึ้งมาก จนคนเราไม่รู้เลยว่า ความพอใจ คือโลภ ความไม่พอใจ คือโกรธ ตามสิ่งที่มากระทบสัมผัสไม่ทัน คือหลง ถ้าตรวจดูตัวเราแต่ละวันที่ตื่นขึ้นมา เราจะพบว่าคนเราเอาความพอใจ ไม่พอใจนำหน้าตลอดเวลา โดยแต่ละคนไม่รู้สึกตัวเลย หมายความว่า คนเราตื่นมาก็ใส่เหตุปัจจัยให้ตัวเอง เวียนว่ายตายเกิดตลอดเวลา หรือใส่เหตุปัจจัยสร้างทุกข์ให้กับตนเอง ทำอย่างนี้มานับภพนับชาติไม่ถ้วน

ถ้าเราไม่แก้ไข ใส่เหตุปัจจัยดับการเวียนว่ายตายเกิดลงไป คนเราก็จะต้องเดินไปเวียนว่ายตายเกิดต่อไป หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ถ้าเรารู้ตัวเราอย่างนี้ น่ากลัวมาก ๆ เพราะคนเราแต่ละวันตื่นมาก็ออกไปแสวงหาความพอใจ ไม่พอใจตลอดวัน แต่ไม่มีผู้ใดถามตัวเองว่า ทำไมเราจึงทำอย่างนี้ เหตุผลก็คือความพอใจ ไม่พอใจที่คนเราสั่งสมมา มันได้กลายเป็นพฤติกรรมของความเคยชินในชีวิตประจำวัน ความพอใจ ไม่พอใจจึงควบคุมการดำเนินชีวิตของคนเราไปแล้ว ไม่สามารถจะแก้ให้ตัวเองกลับมาหาความจริงของชีวิตจริง ๆ ได้ง่าย ๆ



ความพอใจ ไม่พอใจเป็นเหตุปัจจัย ให้คนเราไปเกิดในนรก เดรัจฉาน ไม่มีโอกาสเกิดมาเป็นคนได้ง่าย ๆ ฉะนั้นการเกิดมาเป็นคนแต่ละชาติจึงถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง เกิดมาแล้ว ก็ไม่รู้จะนำพาชีวิตไปทางไหน เพราะความมืดบอดของอวิชชาห่อหุ้มไว้ ทำให้คนเรามองหาหนทางสายใหม่ของชีวิตไม่พบ ในที่สุดก็กลับมาเดินทางสายเก่า สายเวียนว่ายตายเกิดอีก น่าเสียดาย เกิดมาเป็นคนแล้วไม่มีปัญญาพอที่จะนำพาตัวเองหนีทุกข์ไปหาสุขถาวรได้ ถ้าคนเรามองเห็นตัวเองอย่างนี้ จะรู้สึกเสียใจมาก ที่ไม่สามารถพาตนเองไปตามทางสายใหม่คือ สายที่ส่งเรามาเกิด เพื่อพัฒนาตัวเองไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต คือการดับการเวียนว่ายตายเกิดได้

บางครั้งเราพอจะคิดได้บ้างว่า เราเกิดมาเพื่อหนีทุกข์ไปหาสุข แต่ก็คิดได้เดี๋ยวเดียว ก็ไม่สามารถคิดต่อได้ว่าจะทำอย่างไร ความพอใจ ไม่พอใจก็เข้ามาครอบงำอีก ไม่สามารถจะคิดต่อได้ คนเราก็ไม่รู้ตัวได้ว่า ความเคยชินหรือพฤติกรรม ที่คนเราเอาความพอใจ ไม่พอใจไปทำซ้ำมาตลอดชีวิต พฤติกรรมของการสร้างทุกข์ จึงมีกำลังกล้าแข็ง ครอบงำชีวิตของคนเรา แม้เราจะมีใจที่จะคิด แต่ก็คิดไม่ได้ เพราะพฤติกรรมเก่าของเราปิดประตูไว้

น่าเสียดายเสียใจ เราเป็นคนมีร่างกายจิตใจ หรือมีชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่สามารถควบคุมวิถีชีวิต ให้เป็นไปตามเจตนาที่เราเกิดมาเป็นคนได้ ดูดี ๆ จะเห็นว่ามันเป็นจริงอย่างนั้น ความจริงเรามีจิตใจ น่าจะคิดอะไรได้บ้าง แต่คิดไม่ได้ ดูผิวเผินเหมือนกับว่าเราคิดอะไรได้หลายอย่างในแต่ละวัน แต่ความคิดหลายอย่างที่คิดออกมานั้น จริง ๆ แล้วเป็นความคิดอยู่ในกรอบของความพอใจ ไม่พอใจทั้งหมด ความคิดใหม่นอกจากกรอบนี้ไม่มี

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ พิสูจน์ได้ด้วยตัวของเราเองขณะนี้ ตอนนี้เรามีอายุเท่าไหร่แล้ว จะคิดใหม่ได้ไหม แต่ถ้าอายุมากแล้วนั้น คิดจะแก้ไขตัวเองให้กลับตั้งต้นชีวิตใหม่ในทางที่ถูกต้อง เกือบจะไม่มีโอกาสได้เลย เพราะเราไม่สามารถจะชนะพฤติกรรมเก่า คือความพอใจ ไม่พอใจของเราได้ง่าย ๆ ต้องใช้เวลา แต่เวลาที่เหลืออยู่ของเรามีไม่พอ ที่จะมากลับมาแก้ไขตนเองได้ ถ้าผู้ใดไม่เชื่อ ก็ลองตรวจสอบดูตัวเองได้ แล้วท่านจะตกใจ เพราะเราทำไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้นของชีวิต ความผิดพลาดที่เราทำซ้ำกันมาตลอดชีวิตมีกำลังมาก ถ้าเราจะเอาชนะมันได้ ต้องมีปัญญาธรรมของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ประกอบกับความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวดต่อเนื่องเท่านั้น จึงจะชนะได้


อวิชชา (๓) ความรู้สึกนึกคิด

อวิชชา (๔) ตัวกูของกู

อวิชชา (๕) ความยึดมั่นถือมั่น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy