ผู้ใดทำกรรมใด ผู้นั้นต้องได้รับกรรมนั้น คนทำดีก็ได้รับผลดี คนทำชั่วก็ได้รับกรรมชั่ว กรรมส่วนนี้ยังละเอียดลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก การให้ผลของกรรม มิใช่ทำทันทีได้ผลทันทีเสมอไป ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย วัน เวลา สถานที่ เป็นองค์ประกอบในการให้ผล เพราะแต่ละวันก็จะมีผลของกรรมที่คนเราทำไว้ เรียงลำดับ กันออกมาให้ผล ถ้ากรรมในอดีตมีกำลังแรงกว่ากรรมในปัจจุบัน กรรมในอดีตจะให้ผลก่อน กรรมปัจจุบันก็เลื่อนไปให้ผลในระดับต่อไป ทำให้คนธรรมดาทั่วไปไม่เชื่อผลของการกระทำ จึงมีคำพูดกันที่ได้ยินอยู่ในปัจจุบันว่า ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป นี่แสดงว่าคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อกรรมว่ามีจริง เพราะการให้ผลของกรรมสลับซับซ้อน มีทั้งกรรมที่สนับสนุนกัน กรรมตัดกรรม อย่างนี้เป็นต้น
ตัวของเราเกิดจากผลการกระทำของเราเอง เมื่อมีตัวเรา จึงมีผลต่อเนื่องของตัวเราตามมา ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี คนเราเกิดมามีผลต่อเนื่องตามมามากมาย ผลต่อเนื่องที่มันเกิดขึ้นตามมานี่แหละ ที่มันสร้างกรรม และผลการกระทำให้กับตัวเราไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่คนเราไม่ฝึกตัวเองจนเข้าถึงมรรคผลนิพพาน เข้าถึงนิพพานเมื่อใด สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คนเราโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นคน สามารถฝึกฝนตนเองได้ ทั้งทางบวกและทางลบ ฝึกบวกได้บวก ฝึกลบได้ลบ เราจะเลือกบวกได้ ก็ต่อเมื่อเรามีปัญญาธรรมของพระพุทธเจ้าก่อน จึงรู้ได้ว่าอันไหนเป็นบวก อันไหนเป็นลบ ถ้าเราไม่มีข้อมูลที่เป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า เราจะไม่มีวันทราบได้เลย เพราะคนเราทุกคนเกิดมาด้วยอวิชชา มีความไม่รู้ฝังอยู่ในใจทุกคน ฉะนั้นคนที่เกิดมาพบพระพุทธเจ้าถือเป็นบุญ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนเราเกิดมาเป็นคน เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาพบพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง เกิดมาพบคนบอกทางที่ถูกต้องให้ เป็นเรื่องที่หายากในโลก ท่านลองตรวจสอบดูตัวของท่านว่า ท่านเกิดมาพบสี่อย่างนี้แล้วหรือไม่ ถ้าเกิดมาพบก็หมายความว่า ท่านโชคดีที่สุดในชีวิตของท่าน เพราะท่านมีโอกาสพัฒนาตนเองไปพบสุขถาวร หรือมรรคผลนิพพานได้ในชาตินี้ คนเราจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะได้สั่งสมสติปัญญาธรรมมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน หรือบำเพ็ญบารมีมาเพียงพอ หรือกรรมหรือพฤติกรรมมาตั้งแต่อดีตชาติเป็นต้นมา กรรมและวิบากกรรมที่เป็นบุญและกุศลตามมาให้ผล ก็เข้ากับหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลทำกรรมใด ย่อมได้ผลของกรรมนั้น